- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 24-30 พฤษภาคม 2564
ข้าว
1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่
เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,324 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,370 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.41
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,619 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,626 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.08
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 23,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,750 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 13,670 บาท ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 0.59
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 778 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,162 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 776 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,250 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.26 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 88 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 487 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,125 บาท/ตัน) ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 486 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,188 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.21 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 63 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 487 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,125 บาท/ตัน) ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 486 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,188 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.21 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 63 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0569 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ฟิลิปปินส์
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า ประธานาธิบดี Rodrigo R. Duterte ได้อนุมัติการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไป (the Most Favored Nation; MFN Tariff Rates) สำหรับสินค้าข้าวและเนื้อสุกร
เป็นการชั่วคราว 1 ปี เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงด้านอาหาร และปกป้องผู้บริโภค โดยประธานาธิบดี Duterte
ได้ลงนามคำสั่ง Executive Order (EO) No.135 ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไปสำหรับสินค้าข้าวภายใต้พิกัด 1006 สำหรับปริมาณการนำเข้าในโควตา (In-quota) จากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 35 และปริมาณนอกโควตา (Out-quota) จากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 35 เป็นระยะเวลาชั่วคราว 1 ปี เพื่อต้องการขยายแหล่งนำเข้าข้าวเพิ่มเติมนอกเหนือจากการนำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเพิ่มอุปทานข้าวในประเทศ และเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงทางด้านอาหารท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมทั้งเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและ
ลดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ การลดอัตราภาษีนำเข้าข้าว MFN ดังกล่าว ได้คำนึงถึงปัจจัยการเพิ่มขึ้นของราคาข้าว ในตลาดโลกและความไม่แน่นอนของอุปทานข้าวในประเทศ โดยกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2564 ฟิลิปปินส์จะนำเข้าข้าวประมาณ 1.69 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม มาตรการปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN ดังกล่าว ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากสมาชิกวุฒิสภาและกลุ่มผู้ผลิตในท้องถิ่น ซึ่งไม่เห็นด้วยและไม่มีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN สินค้าข้าว เนื่องจากภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ฟิลิปปินส์ไม่มีปัญหาการขาดแคลนข้าวภายในประเทศ และราคาข้าวในท้องตลาดขณะนี้ก็อยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ ในทางกลับกัน หากมีการปรับลดภาษีนำเข้าข้าวให้กับประเทศนอกอาเซียนจะทำให้ราคาข้าวเปลือกตกต่ำลงอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันชาวนาท้องถิ่นยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะราคาข้าวเปลือกตกต่ำตั้งแต่
มีการเปิดเสรีนำเข้าข้าวเมื่อเดือนมีนาคม 2562
นอกจากนี้ปัจจุบันราคาข้าวของประเทศผู้ผลิตนอกอาเซียน เช่น อินเดียและปากีสถาน มีราคาต่ำกว่าข้าวจากประเทศผู้ผลิตในอาเซียน ดังนั้น แม้ว่าจะต้องเสียอัตราภาษีนำเข้า MFN ปัจจุบันที่ร้อยละ 40-50 ราคาข้าวก็ยังมีราคาถูกและแข่งขันได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดอัตราภาษี MFN รวมทั้งไม่สามารถรับประกันได้ว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราภาษีดังกล่าว
การปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN สำหรับสินค้าข้าว คาดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดฟิลิปปินส์ เนื่องจากปัจจุบันสินค้าข้าวที่นำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงประเทศไทย
ถูกเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 35 ตามกรอบความตกลง ATIGA สำหรับประเทศนอกอาเซียนถูกเรียกเก็บภาษี MFN ในอัตราร้อยละ 40 สำหรับปริมาณการนำเข้าในโควตา 350,000 ตัน และร้อยละ 50 สำหรับปริมาณนอกโควตา ดังนั้น การปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN ลงอยู่ในระดับเดียวกับอัตราภาษีนำเข้าที่เรียกเก็บจากประเทศในอาเซียนที่ร้อยละ 35 จะทำให้
การนำเข้าข้าวจากประเทศนอกอาเซียน เช่น อินเดีย ปากีสถาน และจีน เป็นต้น สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดข้าวฟิลิปปินส์ได้มากขึ้น
จากสถิติข้อมูลการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์พบว่า ในปี 2563 นำเข้าข้าวปริมาณรวม 2.09 ล้านตัน ลดลงจาก
ปี 2562 ที่นำเข้า 2.77 ล้านตัน โดยแหล่งนำเข้าข้าวสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ เวียดนาม (ร้อยละ 85.76) เมียนมา
(ร้อยละ7.57) ไทย (ร้อยละ 3.25) จีน (ร้อยละ 1.69) และ อินเดีย (ร้อยละ 1.12) ตามลำดับ นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ราคาข้าวของอินเดียมีแนวโน้มปรับตัวลดลง มีราคาค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศแหล่งผลิตข้าวอื่น จึงคาดว่าหลังจากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN จะทำให้ผู้นำเข้าฟิลิปปินส์หันไปนำเข้าข้าวจากประเทศอินเดีย รวมถึงประเทศ
นอกอาเซียนเพิ่มมากขึ้น
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา
อินโดนีเซีย
หน่วยงาน BULOG (The Indonesian Bureau of Logistics) ระบุว่า จะไม่มีการนำเข้าข้าวในปีนี้ เนื่องจาก
สต็อกข้าวสำรองของรัฐบาล (the government’s rice reserve stock; CBP) ที่อยู่ในคลังของ BULOG ยังคงมี
ปริมาณมากสำหรับการนำออกมาจำหน่ายในตลาดและเพื่อใช้สำหรับมาตรการรักษาระดับราคาข้าวในประเทศให้มีเสถียรภาพ (supply availability and price stabilization; KPSH) รวมทั้งใช้ในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ การช่วยเหลือประชาชนในโอกาสต่างๆ
ทั้งนี้ นาย Budi Waseso ประธานหน่วยงาน BULOG ได้แถลงต่อรัฐสภาว่า ในขณะนี้สต็อกข้าวของ BULOG
มีอยู่ประมาณ 1.4 ล้านตัน ซึ่งประกอบด้วยสต็อกสำรองของรัฐบาลประมาณ 1.378 ล้านตัน และสต็อกสำหรับ
การจำหน่ายประมาณ 17,329 ตัน
นอกจากนี้ BULOG ยังทำหน้าที่ในการดูดซับอุปทานข้าวในประเทศที่มีการเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้
ไปจนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยเพื่อปริมาณสต็อกข้าวของ BULOG ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับจนถึงขณะนี้ BULOG
สามารถจัดหาข้าวได้แล้วประมาณ 670,916 ตัน
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ Oryza.com
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่
เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,324 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,370 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.41
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,619 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,626 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.08
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 23,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,750 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 13,670 บาท ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 0.59
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 778 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,162 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 776 ดอลลาร์สหรัฐฯ (24,250 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.26 แต่เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 88 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 487 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,125 บาท/ตัน) ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 486 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,188 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.21 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 63 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 487 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,125 บาท/ตัน) ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 486 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,188 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.21 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 63 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0569 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
ฟิลิปปินส์
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา รายงานว่า ประธานาธิบดี Rodrigo R. Duterte ได้อนุมัติการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไป (the Most Favored Nation; MFN Tariff Rates) สำหรับสินค้าข้าวและเนื้อสุกร
เป็นการชั่วคราว 1 ปี เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงด้านอาหาร และปกป้องผู้บริโภค โดยประธานาธิบดี Duterte
ได้ลงนามคำสั่ง Executive Order (EO) No.135 ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าทั่วไปสำหรับสินค้าข้าวภายใต้พิกัด 1006 สำหรับปริมาณการนำเข้าในโควตา (In-quota) จากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 35 และปริมาณนอกโควตา (Out-quota) จากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 35 เป็นระยะเวลาชั่วคราว 1 ปี เพื่อต้องการขยายแหล่งนำเข้าข้าวเพิ่มเติมนอกเหนือจากการนำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเพิ่มอุปทานข้าวในประเทศ และเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงทางด้านอาหารท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมทั้งเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและ
ลดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ การลดอัตราภาษีนำเข้าข้าว MFN ดังกล่าว ได้คำนึงถึงปัจจัยการเพิ่มขึ้นของราคาข้าว ในตลาดโลกและความไม่แน่นอนของอุปทานข้าวในประเทศ โดยกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2564 ฟิลิปปินส์จะนำเข้าข้าวประมาณ 1.69 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม มาตรการปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN ดังกล่าว ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากสมาชิกวุฒิสภาและกลุ่มผู้ผลิตในท้องถิ่น ซึ่งไม่เห็นด้วยและไม่มีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN สินค้าข้าว เนื่องจากภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ฟิลิปปินส์ไม่มีปัญหาการขาดแคลนข้าวภายในประเทศ และราคาข้าวในท้องตลาดขณะนี้ก็อยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ ในทางกลับกัน หากมีการปรับลดภาษีนำเข้าข้าวให้กับประเทศนอกอาเซียนจะทำให้ราคาข้าวเปลือกตกต่ำลงอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันชาวนาท้องถิ่นยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะราคาข้าวเปลือกตกต่ำตั้งแต่
มีการเปิดเสรีนำเข้าข้าวเมื่อเดือนมีนาคม 2562
นอกจากนี้ปัจจุบันราคาข้าวของประเทศผู้ผลิตนอกอาเซียน เช่น อินเดียและปากีสถาน มีราคาต่ำกว่าข้าวจากประเทศผู้ผลิตในอาเซียน ดังนั้น แม้ว่าจะต้องเสียอัตราภาษีนำเข้า MFN ปัจจุบันที่ร้อยละ 40-50 ราคาข้าวก็ยังมีราคาถูกและแข่งขันได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดอัตราภาษี MFN รวมทั้งไม่สามารถรับประกันได้ว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราภาษีดังกล่าว
การปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN สำหรับสินค้าข้าว คาดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดฟิลิปปินส์ เนื่องจากปัจจุบันสินค้าข้าวที่นำเข้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงประเทศไทย
ถูกเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 35 ตามกรอบความตกลง ATIGA สำหรับประเทศนอกอาเซียนถูกเรียกเก็บภาษี MFN ในอัตราร้อยละ 40 สำหรับปริมาณการนำเข้าในโควตา 350,000 ตัน และร้อยละ 50 สำหรับปริมาณนอกโควตา ดังนั้น การปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN ลงอยู่ในระดับเดียวกับอัตราภาษีนำเข้าที่เรียกเก็บจากประเทศในอาเซียนที่ร้อยละ 35 จะทำให้
การนำเข้าข้าวจากประเทศนอกอาเซียน เช่น อินเดีย ปากีสถาน และจีน เป็นต้น สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดข้าวฟิลิปปินส์ได้มากขึ้น
จากสถิติข้อมูลการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์พบว่า ในปี 2563 นำเข้าข้าวปริมาณรวม 2.09 ล้านตัน ลดลงจาก
ปี 2562 ที่นำเข้า 2.77 ล้านตัน โดยแหล่งนำเข้าข้าวสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ เวียดนาม (ร้อยละ 85.76) เมียนมา
(ร้อยละ7.57) ไทย (ร้อยละ 3.25) จีน (ร้อยละ 1.69) และ อินเดีย (ร้อยละ 1.12) ตามลำดับ นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ราคาข้าวของอินเดียมีแนวโน้มปรับตัวลดลง มีราคาค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศแหล่งผลิตข้าวอื่น จึงคาดว่าหลังจากการปรับลดอัตราภาษีนำเข้า MFN จะทำให้ผู้นำเข้าฟิลิปปินส์หันไปนำเข้าข้าวจากประเทศอินเดีย รวมถึงประเทศ
นอกอาเซียนเพิ่มมากขึ้น
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา
อินโดนีเซีย
หน่วยงาน BULOG (The Indonesian Bureau of Logistics) ระบุว่า จะไม่มีการนำเข้าข้าวในปีนี้ เนื่องจาก
สต็อกข้าวสำรองของรัฐบาล (the government’s rice reserve stock; CBP) ที่อยู่ในคลังของ BULOG ยังคงมี
ปริมาณมากสำหรับการนำออกมาจำหน่ายในตลาดและเพื่อใช้สำหรับมาตรการรักษาระดับราคาข้าวในประเทศให้มีเสถียรภาพ (supply availability and price stabilization; KPSH) รวมทั้งใช้ในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ การช่วยเหลือประชาชนในโอกาสต่างๆ
ทั้งนี้ นาย Budi Waseso ประธานหน่วยงาน BULOG ได้แถลงต่อรัฐสภาว่า ในขณะนี้สต็อกข้าวของ BULOG
มีอยู่ประมาณ 1.4 ล้านตัน ซึ่งประกอบด้วยสต็อกสำรองของรัฐบาลประมาณ 1.378 ล้านตัน และสต็อกสำหรับ
การจำหน่ายประมาณ 17,329 ตัน
นอกจากนี้ BULOG ยังทำหน้าที่ในการดูดซับอุปทานข้าวในประเทศที่มีการเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้
ไปจนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยเพื่อปริมาณสต็อกข้าวของ BULOG ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับจนถึงขณะนี้ BULOG
สามารถจัดหาข้าวได้แล้วประมาณ 670,916 ตัน
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ Oryza.com
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.68 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.60 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.05 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.21 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.08 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.14
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.35 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.38 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.32 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.98 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 303.75 ดอลลาร์สหรัฐ (9,439.92 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 304.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,470.41 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.08 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 30.49 บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกรกฎาคม 2564 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 642.00 เซนต์ (7,967.87 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 659.00 เซนต์ (8,189.28 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.58 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 221.41 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2564 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.163 ล้านไร่ ผลผลิต 30.108 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 3.286 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.918 ล้านไร่ ผลผลิต 28.999 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.252 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.75 ร้อยละ 3.82 และร้อยละ 1.05 ตามลำดับ โดยเดือนพฤษภาคม 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 1.475 ล้านตัน (ร้อยละ 4.78 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2564 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 61.13 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง โดยผลผลิตมีคุณภาพต่ำ เนื่องจากมีฝนตก ทั้งนี้หัวมันสำปะหลังส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่โรงงานแป้งมันสำปะหลัง
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.90 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.84 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.15 บาท
ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 13.40
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.09 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.95 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 260 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,075 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (8,100 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,000 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (15,047 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2564 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนพฤษภาคมจะมีประมาณ 1.989 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.358 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.902 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.342 ล้านตัน ของเดือนเมษายน คิดเป็นร้อยละ 4.57 และร้อยละ 4.68 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 5.96 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 5.67 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.11
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 36.91 บาท ลดลงจาก กก.ละ 37.65 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.97
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
WTO ตกลงที่จะให้มีการประชุมเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างมาเลเซียกับ EU ในเรื่องน้ำมันปาล์ม โดยจะตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้ ถึงแม้ว่ามาเลเซียจะได้ยื่นเรื่องนี้กับ WTO ตั้งแต่เดือนมกราคม แล้วถูกปฏิเสธก็ตาม
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 4,305.46 ดอลลาร์มาเลเซีย (33.02 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 4,621.55 ดอลลาร์มาเลเซีย (35.62 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.84
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,210.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (38.13 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,278.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (40.37 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.28
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
- สรุปภาวการณ์ผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 18.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 17.20 บาท
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.65
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 19.63 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,521.00 เซนต์ (17.60 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,551.84 เซนต์ (18.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.99
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 391.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.32 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 405.78 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.82 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.59
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 66.02 เซนต์ (45.84 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 67.07 เซนต์ (46.70 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.57
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 18.00 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 17.20 บาท
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.65
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 19.63 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,521.00 เซนต์ (17.60 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 1,551.84 เซนต์ (18.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.99
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 391.22 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.32 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 405.78 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.82 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.59
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 66.02 เซนต์ (45.84 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 67.07 เซนต์ (46.70 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.57
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 38.00 บาท คงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 998.00 ดอลลาร์สหรัฐ (31.00 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ996.67 ดอลลาร์สหรัฐ (31.03 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.13 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 933.00 ดอลลาร์สหรัฐ (28.98 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 932.00 ดอลลาร์สหรัฐ (29.01 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,160.25 ดอลลาร์สหรัฐ (36.03 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,158.67 ดอลลาร์สหรัฐ (36.07 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 739.00 ดอลลาร์สหรัฐ (22.95 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 738.00 ดอลลาร์สหรัฐ (22.97 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.14 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,250.50 ดอลลาร์สหรัฐ (38.84 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 1,249.33 ดอลลาร์สหรัฐ (38.89 บาท/กก.) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.09 แต่ลดลงในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.05 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 55.39 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 41.95 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 32.04
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.68 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 27.45 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 19.05
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 54.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2564 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 82.54 เซนต์(กิโลกรัมละ 57.32 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 82.72 เซนต์ (กิโลกรัมละ 57.60 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.22 (ลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.28 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,812 บาท ลดลงจาก 2,087 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 13.17 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,812 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,548 บาท ลดลงจาก 1,648 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 6.06 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,548 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,039 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาดมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 73.91 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 76.26 คิดเป็นร้อยละ 3.08 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 73.29 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 73.72 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 73.62 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 77.00 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,400 บาท ลดลงจากตัวละ 2,700 คิดเป็นร้อยละ 11.11 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 74.50 บาท ลดลงจาก 75.50 คิดเป็นร้อยละ 1.32 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัว เท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.54 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 10.50 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 290 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 283 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.47 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 292 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 276 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 295 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 325 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 339 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 340 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.29 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 345 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 356 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 313 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 305 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 96.69 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 98.79 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.12 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 94.63 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 98.26 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 89.20 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 106.71 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 77.28 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 80.35 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.82 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.65 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 74.70 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงาน
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.33 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 77.73 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.40 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 136.44 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 139.33 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.89 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 136.67 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 128.33 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 8.34 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 71.92 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 76.19 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.27 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 220.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 11.00 บาท ราคาสูงขึ้น จากกิโลกรัมละ 6.94 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.06 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.33 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 77.73 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.40 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 140.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 136.44 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 139.33 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.89 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 136.67 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 128.33 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 8.34 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 71.92 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 76.19 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.27 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 220.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 11.00 บาท ราคาสูงขึ้น จากกิโลกรัมละ 6.94 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.06 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 34.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา